เรื่องของ ชนิดของคำ (Parts of Speech) ในภาษาอังกฤษ |
|
วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555
Part of Speech
วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555
การแนะนำตัวเอง
การแนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษ
Non-formal way (ไม่เป็นทางการ) เราอาจจะพูดเพียงแค่คำว่า “Hello” หรือ “Hi” ตามด้วยการแนะนำตัวเอง เช่น “Hi, my name is Jew.” โดยอีกฝ่ายมักจะตอบกลับโดยระบุชื่อเรา เช่น “Hi, Jew. I’m Sarah.” หรือ อาจจะพูดว่า “Hello, Jew! Pleasure to meet you.” ก็ได้ ตามด้วยการเริ่มบทสนทนา โดยอาจเริ่มต้นด้วยการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบต่างๆ เช่น “How are you today?” และอื่นๆ
*หากเราต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้เป็นแบบกันเอง โดยไม่อยากที่จะใช้ชื่อจริงคุยกัน ก็อาจจะแนะนำชื่อเล่นของเราไปเลย หรือ อาจจะใช้วิธีการแนะนำชื่อจริงแล้วตามด้วยชื่อเล่นของเราก็ได้ เช่น “Hi, my name is Jew, but you can call me Dek-Eng.” หรือ อาจจะพูดว่า "Hi, my name is Jew, but all my friends all call me Dek-Eng."
Formal way (ทางการ) ในการแนะนำตัวแบบเป็นทางการนั้น เราจะต้องใช้ประโยคทำความรู้จัก แนะนำชื่อ และ ตามด้วยการแนะนำตัวสั้นๆว่าเราเป็นใคร หรือ มาจากไหน
"May I / I'd like to introduce myself. I'm Jew, from Dek-Eng.com."
“Nice to meet you. My name is Jew, from Dek-Eng.com.”
หรือ “My name is Jew, from Dek-Eng.com. Nice to meet you.”
*สำหรับการแนะนำตัวส่วนใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบ Formal หรือ Non-formal ก็มักจะควบคู่ไปกับการจับมือทักทายกัน หรือ การทักทายตามวัฒนธรรมต่างๆ เสมอ ซึ่งเพื่อนๆสามารถศึกษาต่อได้ใน ….
ประโยคแนะนำตัวที่เรานิยมใช้กันในชีวิตประจำวัน ได้แก่
(It’s) Nice/Good/Great to meet you.
(It’s) Nice/Good/Great to see you.
(I’m) Pleased to meet you
It’s a pleasure to meet you
(I'm) Delighted to meet you
(I’m) Glad to meet you
(It’s) Nice to meet you / (It’s) Nice meeting you
How do you do?
ประโยคที่ใช้ในการทักทายตอบ ได้แก่
Nice/Good/Great to meet you too.
The pleasure is mine
Pleasure / My pleasure
Likewise
Same here
Same to you
Same
You too (ใช้ตอบประโยคทักทายที่ใช้ It’s…to meet you)
Me too (ใช้ตอบประโยคทักทายที่ใช้ I’m…to meet you)
ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเลือกใช้ประโยคเหล่านี้ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ หรือ ผู้สนทนาด้วย
ส่วนใครที่มีคำถามว่า จะพูดอย่างไรเพื่อกล่าวคำลา สำหรับการกล่าวคำลานั้น เรามักจะเน้นอีกครั้งถึง ความรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักกับผู้สนทนา เช่น
ส่วนใครที่มีคำถามว่า จะพูดอย่างไรเพื่อกล่าวคำลา สำหรับการกล่าวคำลานั้น เรามักจะเน้นอีกครั้งถึง ความรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักกับผู้สนทนา เช่น
It was a pleasure to (meet/have met) you
It was nice meeting you. I look forward to our next meeting.
It was nice to meet you. We’ll be in touch.
Nice meeting you. I hope to see you soon
วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555
การอ่านเวลา......
การอ่านเวลา สามารถแบ่งออกเป็นสองวิธีด้วยกัน คือ
- ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง (12-hour clock) เป็นวิธีการบอกเวลาที่นิยมใช้ในภาษาอังกฤษทั่วไป โดยใช้เลข 1 ถึง 12 ตามด้วย a.m. (ante meridiem) หรือ p.m. (post meridiem) ต่อท้าย โดยมีหลักการอ่านดังนี้
- หากเป็นเวลาเต็มชั่วโมง ให้เติมคำว่า “O’clock” ตามหลังเลขชั่วโมงนั้นๆได้ และ หากเราต้องการย้ำถึงเวลา ก็อาจจะเติมคำว่า “sharp” ลงไปด้วย เช่น
It’s six O’clock now. = ขณะนี้เป็นเวลาหกนาฬิกา
See you tomorrow at six o’clock sharp = แล้วเจอกันพรุ่งนี้ ตอนหกโมงตรง
- หากเป็นเวลาที่ผ่านชั่วโมงมาแล้ว แต่ไม่เกินสามสิบนาที ให้ใช้คำว่า “past” เข้ามาช่วยในการบอกเวลา เช่น
6.10 = Ten (minutes) past six / Six ten
6.15 = A quarter past six / Six fifteen
6.30 = Half past six / Six thirty
- หากเป็นเวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกินสามสิบนาทีมาแล้ว ให้ใช้คำว่า “to” เข้ามาช่วยในการบอกเวลา เช่น
6.45 = A quarter to seven / Six forty-five
6.50 = Ten (minutes) to seven / Six fifty
6.35 = Twenty-five (minutes) to seven / Six thirty-five
- การอ่านเวลาแบบระบุเวลาเช้า เย็น เป็นวิธีที่ง่าย และมีความชัดเจนในการสื่อสาร ซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกัน เช่น
4.45 p.m. = four forty-five in the evening
4.00 a.m. = four o’clock in the morning
* หากเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดีจะใช้คำว่า “at noon หรือ midday” และหากเป็นเวลาเที่ยงคืนตรง ก็จะใช้คำว่า “at midnight”
- ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง (24-hour clock) เป็นวิธีการบอกเวลาที่ใช้ในหมู่ทหาร หรือ ในการประชุมทางการต่างๆ เพื่อป้องกันการสับสนในการบอกเวลา โดยใช้เลข 1 ถึง 23 และ เลข 00 ในเวลาเที่ยงคืน และไม่มี a.m. / p.m. ตามหลัง โดยมีวิธีการอ่านเวลาที่ต่างไปจากการอ่านเวลาทั่วไป เช่น
20.00 = twenty hundred
03.05 = oh three oh five / zero three zero five
00.35 = midnight thirty-five
วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555
มาฝึกอ่านวันทั้ง7 กันเร้ววววว....
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ วันทั้ง 7 พร้อมคำอ่านและคำแปล เพื่อนำไปฝึกปรือ โดยการอ่านบ่อยๆ ทุกวัน อ่านให้คล่องแคล่วคล้ายท่องสูตรคูณเลยก็ได้......
ที่ | คำศัพท์ | คำอ่าน | คำแปล |
1 | Sunday | ซั๊นเด | วันอาทิตย์ |
2 | Monday | มั๊นเด | วันจันทร์ |
3 | Tuesday | ทิ๊วสเด | วันอังคาร |
4 | Wednesday | เว็นสเด | วันพุธ |
5 | Thursday | เธิ๊สเด | วันพฤหัสบดี |
6 | Friday | ไฟร๊เด | วันศุกร์ |
7 | Saturday | แซ๊ททะเด | วันเสาร์ |
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555
เดือน ภาษาอังกฤษมีอะไร...บ้างน๊าาาา...
เดือนทั้ง 12 ( Month )
มกราคม January
กุมภาพันธ์ February
มีนาคม March
เมษายน April
พฤษภาคม May
มิถุนายน June
กรกฎาคม July
สิงหาคม August
กันยายน September
ตุลาคม October
พฤศจิกายน November
ธันวาคม December
การใช้ some และ any, การใช้คำ
some ( บาง , บ้าง ) ใช้นำหน้าคำนามนับไม่ได้เอกพจน์
และคำนามนับได้พหูพจน์ที่เป็นประโยคบอกเล่า
any ใช้ในประโยคปฏิเสธ หรือประโยคคำถาม เช่น
Please give me some pens.
My mother wants to make fried – rice. She needs some carrots.
I need some sugar for my coffee.
Do you have any salt?
No, I don’t have any.
ข้อควรจำ
1. some ใช้แทนคำนามนับได้พหูพจน์ โปรดรอบคอบเรื่องการใช้คำกริยา ถ้า some
แทนคำนามพหูพจน์ ใช้กริยา are
2. some ใช้แทนคำนามนับไม่ได้ โปรดรอบคอบเรื่องการใช้คำกริยาถ้า some
แทนคำนามนับไม่ได้ ใช้กริยา is
ถ้าเป็นประโยคคำถาม ที่เกี่ยวกับความต้องการจะใช้ some ดังนี้
Do you want some rice?
Yes, please.
ถ้าเป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธ จะใช้ any ดังนี้
Do you have any salt?
No, I don’t have any.
วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555
เทคนิคเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เทคนิคเก่งอังกฤษ
ใครที่มีปัญหาฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษ เชิญทางนี้ 'Edutainment Zone' มีเทคนิคเพิ่มทักษะด้านต่าง ๆ มาฝาก เรียนรู้ด้วยตัวเองง่าย ๆ จากสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน
ขยันอ่าน ไม่ว่าจะเป็นบทความต่าง ๆ จากหนังสือหรือนิตยสาร อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้คุ้นเคยกับคำศัพท์และรูปประโยค ในช่วงแรกอาจหาแรงจูงใจในการอ่านจากหนังสือที่ชอบหรือสนใจ เช่น หนังสือการ์ตูนชื่อดังหลายเล่ม ที่ปัจจุบันมีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษแบบง่าย
ใช้ดิกชันนารีเป็นประจำ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการฝึกภาษาอังกฤษ ถ้าจะให้ดีควรใช้ดิกชันนารีภาษาอังกฤษเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างความเข้าใจ ความคุ้นเคยกับคำศัพท์ และได้เห็นตัวอย่างการเรียบเรียงประโยค
เรียนภาษาอังกฤษจากเกม เพลง และหนัง อาทิ เกมปริศนาอักษรไขว้ เกมเติมคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ปัจจุบันมีรูปแบบหลากหลายน่าสนใจ นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้นึกหาคำศัพท์ ส่วนใครเป็นคอหนัง ควรเน้นดูหนังต่างประเทศเยอะ ๆ หากใครรักเสียงเพลงสามารถใช้ความชอบให้เป็นประโยชน์โดยการฟังเพื่อฝึกทักษะด้านสำเนียงการออกเสียง และปิดท้ายด้วยการหาความหมายของศัพท์ในบทเพลงด้วย
หมั่นทบทวนและหาโอกาสใช้ภาษาอังกฤษ เริ่มจากจดบันทึกศัพท์หรือประโยคใหม่ ๆ ไว้ท่องจำ นอกจากนี้ ควรหาโอกาสสนทนากับคนพูดภาษาอังกฤษ ที่สำคัญอย่าอายที่จะพูด เพราะการเรียนจากตำราอย่างเดียวไม่พอ ต้องขยันหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
‘เทคนิคเก่งอังกฤษ’ นั้น แท้จริงแล้วไม่อยาก แต่ต้องอาศัยความต่อเนื่องในการเรียนรู้ ดังนั้น ต้องสร้างวินัยให้ตัวเองด้วย....จ้า
ภาษาอังกฤษ...สำคัญอย่างไรในโลกปัจจุบัน
1.ความเจริญก้าวหน้าทาวิทยาศาสตร์มาจากยุโรปและอเมริกาเป็นส่วนใหญ่หากต้องการเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต้องมีความรู้เป็นภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีเพราะตำรับตำราส่วนมากเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
2.ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องหมายของคนมีการศึกษาดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3.การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศกว้างขวางขึ้นมีข้อจำกัดและกฏเกณฑ์เข้ามาเกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องอาศัยภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ทำสัญญาต่างๆ
4.ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนาตัวเองไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ในหลายๆด้านรวมทั้งผู้ชำนาญด้านภาษาด้วย
5.ในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมือง การทหาร การทูตระหว่างประเทศต้องมีความรอบคอบระมัดระวังในการเลือกใช้คำพูดเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดต่างๆอันเกิดจากการใช้คำไม่เหมาะสม
6.นักจิตวิทยาทางภาษาศาสตร์ได้ค้นคว้าและสรุปออกมาว่าคนที่รู้มากกว่าหนึ่งภาษามีโอกาสได้พัฒนามันสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาได้มากกว่าคนที่พูดอยู่ภาษาเดียวและคนที่พูดได้ภาษามีโอกาสหารายได้ได้เร็วกว่าและมากกว่าคนที่พูดได้ภาษาเดียวคือภาษาแม่
จากนังสือพูดภาษาอังกฤษอย่างไรให้ฝรั่งรู้เรื่อง Brotish vs American
ของ ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์
2.ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องหมายของคนมีการศึกษาดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3.การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศกว้างขวางขึ้นมีข้อจำกัดและกฏเกณฑ์เข้ามาเกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องอาศัยภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ทำสัญญาต่างๆ
4.ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนาตัวเองไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ในหลายๆด้านรวมทั้งผู้ชำนาญด้านภาษาด้วย
5.ในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมือง การทหาร การทูตระหว่างประเทศต้องมีความรอบคอบระมัดระวังในการเลือกใช้คำพูดเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดต่างๆอันเกิดจากการใช้คำไม่เหมาะสม
6.นักจิตวิทยาทางภาษาศาสตร์ได้ค้นคว้าและสรุปออกมาว่าคนที่รู้มากกว่าหนึ่งภาษามีโอกาสได้พัฒนามันสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาได้มากกว่าคนที่พูดอยู่ภาษาเดียวและคนที่พูดได้ภาษามีโอกาสหารายได้ได้เร็วกว่าและมากกว่าคนที่พูดได้ภาษาเดียวคือภาษาแม่
จากนังสือพูดภาษาอังกฤษอย่างไรให้ฝรั่งรู้เรื่อง Brotish vs American
ของ ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)