วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

Part of Speech


เรื่องของ ชนิดของคำ (Parts of Speech) ในภาษาอังกฤษ
เรื่องของ
ชนิดของคำ (Parts of Speech) ในภาษาอังกฤษ
ข้อความ ประกอบด้วย"คำ"(word) หรือกลุ่มคำซึ่งนำมาเรียงต่อเนื่องกันเป็นวลี (phrase) หรือประโยค(sentence) จะมีหน้าที่อย่างหนึ่ง อย่างใดใน 8 หน้าที่ ตามหลักไวยากรณ์อังกฤษ ( grammar )

หน้าที่ของคำเรียกว่า "ชนิดของคำ" ( parts of speech ) ซึ่งได้แก่
  • Noun (คำนาม)
  • Pronoun (คำสรรพนาม)
  • Verb (คำกริยา)
  • Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)
  • Adjective (คำคุณศัพท์)
  • Preposition (คำบุพบท)
  • Conjunction (คำสันธาน)
  • Interjection (คำอุทาน)
  1. Noun (คำนาม)
    เป็นคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ ทั้งที่มีรูปร่างเช่น โต๊ะ สมุด และไม่มีรูปร่างเช่น วัน เวลา อากาศ รวมทั้งชื่อของคน สัตว์ หรือสิ่งของ เช่น
    • คน: man father lady
    • สัตว์: dog cat bird
    • สิ่งของ: city table month
    • ชื่อคน: John Mary
    • ชื่อสัตว์: Lassie Lucifer
    • ชื่อสิ่งของ: Bangkok January
  2. Pronoun (คำสรรพนาม)
    เป็นคำที่ใช้เรียกแทนคำนามเพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ เช่น I, we, you, he, she, it หรือใช้แทนคำนามที่เราไม่ทราบว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร หรือใคร เช่น someone, something
    • แทนคำซ้ำ Mai is a beautiful woman. Mai is a popular singer. = Mai is a beautiful woman. She is a popular singer.
    • ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร Something is missing. ไม่รู้ว่าอะไรหายไป
  3. Verb (คำกริยา)
    เป็นคำที่บอกอาการหรือการกระทำ ( action ) หรือบอกความเป็นอยู่ ( being ) หรือสภาวะความเป็นอยู่ ( state of being ) เช่น fly, is, am, seem, look.
    • การกระทำ Birds fly. นกบิน
    • ความเป็นอยู่ Danny is a boy. แดนนี่เป็นเด็กผู้ชาย
    • สภาวะความเป็นอยู่ He looks good. เขาแลดูดี
  4. Adjectives (คุณศัพท์)
    เป็นคำที่อธิบายหรือขยาย noun หรือ pronoun ให้ไดัรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ เพิ่มขึ้น เช่น new, ugly, ill, happy, afraid, careless.
    • He bought a new car. เขาซื้อรถใหม่.( new ขยาย car ซึ่งเป็น noun )
    • They are ugly. พวกเขาน่าเกลียด ( ugly ขยาย they ซึ่งเป็น pronoun )
  5. Adverb (วิเศษณ์ หรือ กริยาวิเศษณ์)
    เป็นคำที่อธิบายหรือขยาย verb หรือ adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง เช่น hard, fast, very
    • He works hard. เขาเป็นคนทำงานหนัก (hard ขยาย works ซึ่งเป็น verb)
    • He is very rich. เขาเป็นคนจนมาก ( very ขยาย rich ซึ่งเป็น adjective )
    • He works very hard.เขาเป็นคนที่ทำงานหนักมาก ( very ขยาย hard ซึ่งเป็น adverb )
  6. Preposition (คำบุพบท)
    เป็นคำ หรือกลุ่มคำที่วางหน้า noun หรือ pronoun เพื่อแสดงว่าคำนามหรือสรรพนามนั้นเกี่ยวข้องกับคำอื่นๆในประโยคอย่างไรเช่น on, at, in, from, within
    • I will see you on Monday. ฉันจะพบกับคุณในวันจันทร์
    • She was waiting at the restaurant. เธอรออยู่ที่ร้านอาหาร
    • There is a cockroach in my room. มีแมลงสาบตัวหนึ่งในห้องฉัน
    • We must finish the project within a year. ราจะต้องทำโครงการนี้ให้เสร็จใน 1 ปี
  7. Conjunction (คำสันธาน)
    เป็นคำที่ใช้เชื่อม คำ กลุ่มคำ หรือประโยคเข้าด้วยกันเพื่อให้ความหมายสมบูรณ์ขึ้น เช่น and, but, therefore, beside, either..or
    • John is rich and handsome .จอห์นเป็นคนรวยและรูปหล่อ
    • Either you or she has to do this job. ไม่คุณก็เธอที่จะต้องทำงานนี้
  8. Interjection (คำอุทาน)
    เป็นคำอุทานที่แสดงถึงอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับคำอื่นๆ ใน ประโยคเลย เช่น Oh God! , WOW, Hurrah

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

การแนะนำตัวเอง

การแนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษ

Non-formal way (ไม่เป็นทางการ) เราอาจจะพูดเพียงแค่คำว่า “Hello” หรือ “Hi” ตามด้วยการแนะนำตัวเอง เช่น “Hi, my name is Jew.” โดยอีกฝ่ายมักจะตอบกลับโดยระบุชื่อเรา เช่น “Hi, Jew. I’m Sarah.” หรือ อาจจะพูดว่า “Hello, Jew! Pleasure to meet you.” ก็ได้ ตามด้วยการเริ่มบทสนทนา โดยอาจเริ่มต้นด้วยการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบต่างๆ เช่น “How are you today?” และอื่นๆ
*หากเราต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้เป็นแบบกันเอง โดยไม่อยากที่จะใช้ชื่อจริงคุยกัน ก็อาจจะแนะนำชื่อเล่นของเราไปเลย หรือ อาจจะใช้วิธีการแนะนำชื่อจริงแล้วตามด้วยชื่อเล่นของเราก็ได้ เช่น “Hi, my name is Jew, but you can call me Dek-Eng.” หรือ อาจจะพูดว่า "Hi, my name is Jew, but all my friends all call me Dek-Eng."
Formal way (ทางการ) ในการแนะนำตัวแบบเป็นทางการนั้น เราจะต้องใช้ประโยคทำความรู้จัก แนะนำชื่อ และ ตามด้วยการแนะนำตัวสั้นๆว่าเราเป็นใคร หรือ มาจากไหน
"May I / I'd like to introduce myself. I'm Jew, from Dek-Eng.com."

“Nice to meet you. My name is Jew, from Dek-Eng.com.”

หรือ “My name is Jew, from Dek-Eng.com. Nice to meet you.”
*สำหรับการแนะนำตัวส่วนใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบ Formal หรือ Non-formal ก็มักจะควบคู่ไปกับการจับมือทักทายกัน หรือ การทักทายตามวัฒนธรรมต่างๆ เสมอ ซึ่งเพื่อนๆสามารถศึกษาต่อได้ใน ….
ประโยคแนะนำตัวที่เรานิยมใช้กันในชีวิตประจำวัน ได้แก่

(It’s) Nice/Good/Great to meet you.
(It’s) Nice/Good/Great to see you.
(I’m) Pleased to meet you
It’s a pleasure to meet you
(I'm) Delighted to meet you
(I’m) Glad to meet you
(It’s) Nice to meet you / (It’s) Nice meeting you
How do you do?
ประโยคที่ใช้ในการทักทายตอบ ได้แก่

Nice/Good/Great to meet you too.
The pleasure is mine
Pleasure / My pleasure
Likewise
Same here
Same to you
Same
You too (ใช้ตอบประโยคทักทายที่ใช้ It’s…to meet you)
Me too (ใช้ตอบประโยคทักทายที่ใช้ I’m…to meet you)
ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเลือกใช้ประโยคเหล่านี้ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ หรือ ผู้สนทนาด้วย
ส่วนใครที่มีคำถามว่า จะพูดอย่างไรเพื่อกล่าวคำลา สำหรับการกล่าวคำลานั้น เรามักจะเน้นอีกครั้งถึง ความรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักกับผู้สนทนา เช่น

It was a pleasure to (meet/have met) you
It was nice meeting you. I look forward to our next meeting.
It was nice to meet you. We’ll be in touch.
Nice meeting you. I hope to see you soon

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

การอ่านเวลา......


การอ่านเวลา สามารถแบ่งออกเป็นสองวิธีด้วยกัน คือ
 
  1. ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง (12-hour clock) เป็นวิธีการบอกเวลาที่นิยมใช้ในภาษาอังกฤษทั่วไป โดยใช้เลข 1 ถึง 12 ตามด้วย a.m. (ante meridiem) หรือ p.m. (post meridiem) ต่อท้าย โดยมีหลักการอ่านดังนี้
 
  • หากเป็นเวลาเต็มชั่วโมง ให้เติมคำว่า “O’clock” ตามหลังเลขชั่วโมงนั้นๆได้ และ หากเราต้องการย้ำถึงเวลา ก็อาจจะเติมคำว่า “sharp” ลงไปด้วย เช่น
 
It’s six O’clock now. = ขณะนี้เป็นเวลาหกนาฬิกา
See you tomorrow at six o’clock sharp = แล้วเจอกันพรุ่งนี้ ตอนหกโมงตรง
 
  • หากเป็นเวลาที่ผ่านชั่วโมงมาแล้ว แต่ไม่เกินสามสิบนาที ให้ใช้คำว่า “past” เข้ามาช่วยในการบอกเวลา เช่น
 
6.10 = Ten (minutes) past six / Six ten
6.15 = A quarter past six / Six fifteen
6.30 = Half past six / Six thirty
 
  • หากเป็นเวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกินสามสิบนาทีมาแล้ว ให้ใช้คำว่า “to” เข้ามาช่วยในการบอกเวลา เช่น
 
6.45 = A quarter to seven / Six forty-five
6.50 = Ten (minutes) to seven / Six fifty
6.35 = Twenty-five (minutes) to seven / Six thirty-five

 
  • การอ่านเวลาแบบระบุเวลาเช้า เย็น เป็นวิธีที่ง่าย และมีความชัดเจนในการสื่อสาร ซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกัน เช่น
4.45 p.m. = four forty-five in the evening
4.00 a.m. = four o’clock in the morning

* หากเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดีจะใช้คำว่า “at noon หรือ midday” และหากเป็นเวลาเที่ยงคืนตรง ก็จะใช้คำว่า “at midnight”
 
  1. ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง (24-hour clock) เป็นวิธีการบอกเวลาที่ใช้ในหมู่ทหาร หรือ ในการประชุมทางการต่างๆ เพื่อป้องกันการสับสนในการบอกเวลา โดยใช้เลข 1 ถึง 23 และ เลข 00 ในเวลาเที่ยงคืน และไม่มี a.m. / p.m. ตามหลัง โดยมีวิธีการอ่านเวลาที่ต่างไปจากการอ่านเวลาทั่วไป เช่น
 
20.00 = twenty hundred
03.05 = oh three oh five / zero three zero five
00.35 = midnight thirty-five

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

มาฝึกอ่านวันทั้ง7 กันเร้ววววว....

     คำศัพท์ภาษาอังกฤษ วันทั้ง 7 พร้อมคำอ่านและคำแปล เพื่อนำไปฝึกปรือ โดยการอ่านบ่อยๆ ทุกวัน อ่านให้คล่องแคล่วคล้ายท่องสูตรคูณเลยก็ได้......
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ วันทั้ง 7
ที่คำศัพท์คำอ่านคำแปล
1Sundayซั๊นเดวันอาทิตย์
2Mondayมั๊นเดวันจันทร์
3Tuesdayทิ๊วสเดวันอังคาร
4Wednesdayเว็นสเดวันพุธ
5Thursdayเธิ๊สเดวันพฤหัสบดี
6Fridayไฟร๊เดวันศุกร์
7Saturdayแซ๊ททะเดวันเสาร์

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

 






หญิงแม้รูปชั่ว แต่จริยาวัตรทำให้งดงามได้ ชายแม้รูปทราม วิชาติดตัวก็ส่งให้เจริญรุ่งเรืองได้

Even a wicked woman. But the beauty is Hriyawantr.
Even the evil man. Take a course, it's thriving

เดือน ภาษาอังกฤษมีอะไร...บ้างน๊าาาา...

                                                     

                                                                เดือนทั้ง 12   ( Month )
                                                               

                                                                 มกราคม           January
                                                                 กุมภาพันธ์        February
                                                                 มีนาคม             March
                                                                 เมษายน           April
                                                                 พฤษภาคม       May
                                                                 มิถุนายน          June
                                                                 กรกฎาคม        July
                                                                 สิงหาคม         August
                                                                 กันยายน         September
                                                                 ตุลาคม           October
                                                                 พฤศจิกายน    November
                                                                 ธันวาคม         December

การใช้ some และ any, การใช้คำ


some ( บาง , บ้าง ) ใช้นำหน้าคำนามนับไม่ได้เอกพจน์ และคำนามนับได้พหูพจน์ที่เป็นประโยคบอกเล่า
any ใช้ในประโยคปฏิเสธ หรือประโยคคำถาม เช่น
Please give me some pens.
My mother wants to make fried – rice. She needs some carrots.
I need some sugar for my coffee.
Do you have any salt?
No, I don’t have any.

 
ข้อควรจำ
1. some ใช้แทนคำนามนับได้พหูพจน์ โปรดรอบคอบเรื่องการใช้คำกริยา ถ้า some แทนคำนามพหูพจน์ ใช้กริยา are
2. some ใช้แทนคำนามนับไม่ได้ โปรดรอบคอบเรื่องการใช้คำกริยาถ้า some แทนคำนามนับไม่ได้ ใช้กริยา is
ถ้าเป็นประโยคคำถาม ที่เกี่ยวกับความต้องการจะใช้ some ดังนี้
Do you want some rice?
Yes, please.
ถ้าเป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธ จะใช้ any ดังนี้
Do you have any salt?
No, I don’t have any.
 

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

วันวาน....ทำให้คิดถึงตอนเป็นเด็ก


http://www.youtube.com/watch?v=fmx9Gy_C_2A

เทคนิคเรียนรู้ด้วยตัวเอง

เทคนิคเก่งอังกฤษ

เทคนิคเก่งอังกฤษ


ใครที่มีปัญหาฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษ เชิญทางนี้ 'Edutainment Zone' มีเทคนิคเพิ่มทักษะด้านต่าง ๆ มาฝาก เรียนรู้ด้วยตัวเองง่าย ๆ จากสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน


ขยันอ่าน ไม่ว่าจะเป็นบทความต่าง ๆ จากหนังสือหรือนิตยสาร อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ที่เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้คุ้นเคยกับคำศัพท์และรูปประโยค ในช่วงแรกอาจหาแรงจูงใจในการอ่านจากหนังสือที่ชอบหรือสนใจ เช่น หนังสือการ์ตูนชื่อดังหลายเล่ม ที่ปัจจุบันมีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษแบบง่าย

ใช้ดิกชันนารีเป็นประจำ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการฝึกภาษาอังกฤษ ถ้าจะให้ดีควรใช้ดิกชันนารีภาษาอังกฤษเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างความเข้าใจ ความคุ้นเคยกับคำศัพท์ และได้เห็นตัวอย่างการเรียบเรียงประโยค

เรียนภาษาอังกฤษจากเกม เพลง และหนัง อาทิ เกมปริศนาอักษรไขว้ เกมเติมคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ปัจจุบันมีรูปแบบหลากหลายน่าสนใจ นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้นึกหาคำศัพท์ ส่วนใครเป็นคอหนัง ควรเน้นดูหนังต่างประเทศเยอะ ๆ หากใครรักเสียงเพลงสามารถใช้ความชอบให้เป็นประโยชน์โดยการฟังเพื่อฝึกทักษะด้านสำเนียงการออกเสียง และปิดท้ายด้วยการหาความหมายของศัพท์ในบทเพลงด้วย

หมั่นทบทวนและหาโอกาสใช้ภาษาอังกฤษ เริ่มจากจดบันทึกศัพท์หรือประโยคใหม่ ๆ ไว้ท่องจำ นอกจากนี้ ควรหาโอกาสสนทนากับคนพูดภาษาอังกฤษ ที่สำคัญอย่าอายที่จะพูด เพราะการเรียนจากตำราอย่างเดียวไม่พอ ต้องขยันหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ

‘เทคนิคเก่งอังกฤษ’ นั้น แท้จริงแล้วไม่อยาก แต่ต้องอาศัยความต่อเนื่องในการเรียนรู้ ดังนั้น ต้องสร้างวินัยให้ตัวเองด้วย....จ้า

ภาษาอังกฤษ...สำคัญอย่างไรในโลกปัจจุบัน

    1.ความเจริญก้าวหน้าทาวิทยาศาสตร์มาจากยุโรปและอเมริกาเป็นส่วนใหญ่หากต้องการเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต้องมีความรู้เป็นภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีเพราะตำรับตำราส่วนมากเขียนเป็นภาษาอังกฤษ 

   2.ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องหมายของคนมีการศึกษาดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

   3.การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศกว้างขวางขึ้นมีข้อจำกัดและกฏเกณฑ์เข้ามาเกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องอาศัยภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ทำสัญญาต่างๆ

  4.ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนาตัวเองไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ในหลายๆด้านรวมทั้งผู้ชำนาญด้านภาษาด้วย

  5.ในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมือง การทหาร การทูตระหว่างประเทศต้องมีความรอบคอบระมัดระวังในการเลือกใช้คำพูดเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดต่างๆอันเกิดจากการใช้คำไม่เหมาะสม

  6.นักจิตวิทยาทางภาษาศาสตร์ได้ค้นคว้าและสรุปออกมาว่าคนที่รู้มากกว่าหนึ่งภาษามีโอกาสได้พัฒนามันสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาได้มากกว่าคนที่พูดอยู่ภาษาเดียวและคนที่พูดได้ภาษามีโอกาสหารายได้ได้เร็วกว่าและมากกว่าคนที่พูดได้ภาษาเดียวคือภาษาแม่

    จากนังสือพูดภาษาอังกฤษอย่างไรให้ฝรั่งรู้เรื่อง Brotish vs American
ของ ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์



   
                                 บล็อกนี้....สร้างขึ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทางภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการประเมินและพัฒนานวัตกรรมการสอนภาษาอังกฤษ.....